ท้าวก่ำกาดำ
บทที่ 1. สรุปเนื้อเรื่องของวรรณกรรม
นานมาแล้ว
มีผัวเมียที่ยากจนมากครอบครัวหนึ่ง แต่งงานมา 7 ปี ไม่มีลูกจึงขอลูกจากพระอินทร์
พระอินทร์จึงประทานลูกให้เป็นชาย ก่อนท้องแม่ฝันว่าลูกแก้วสีดำตกเข้าปาก
ลูกแก้วลอยหนีไปส่งแสงสว่างไปทั่ว เมื่อตั้งท้องเกิดลูกเป็นชายตัวดำเหมือนกา
รูปชั่วตัวดำใครๆ ก็หัวเราะเยาะ แม่ไม่ยอมเลี้ยงเพราะอับอายจึงเอาไปล่องแพทิ้ง
เด็กดำลอยไปอยู่ 7 วัน 7 คืน ก็มาถึงหาดทรายแห่งหนึ่ง พระอินทร์เล็งเห็นว่าลำบากเลยให้กาดำมาช่วยพาไปไว้เมืองเบ็งจาล
กินรีเลยหาผลไม้กินเป็นอาหาร เจ้าของสวนมาพบเข้าจึงเอาไปเลี้ยงไว้
วันหนึ่งท้าวก่ำกาดำช่วยยายเจ้าของสวนร้อยดอกไม้มาลัยได้สวยงามมาก
ยายเอาไปถวายธิดากษัตริย์ชื่อนางลุน นางลุนก็อยากเห็นตัวคนร้อยมาลัย
วันหนึ่งกินรีทำอุบายให้ยายพานางมาชมสวน เมื่อได้พบนาง ก็หลงรัก
กินรีมีความสามารถในการเป่าแคนได้ไพเราะ จึงเป่าแคนให้ผู้คนฟัง
เสียงเล่าลือว่ากินรีเป่าแคนได้ไพเราะไปทั่วเมือง
วันหนึ่งกินรีได้ถอดรูปร้ายกลายเป็นคนร่างงามสง่าไปหานางลุนบอกนางว่ามาจากเมืองอินทปัฐ
และได้นางเป็นเมีย เจ้าเมืองฝันว่าช้างมาไล่คน กินอ้อยกล้วยของเมือง
จึงให้หมอมาทาย กาดำได้เฝ้ากษัตริย์ เพราะชื่อเสียงว่าเป่าแคนเพราะ
กลางคืนกินรีไปหานางและได้ขอแหวนและผ้าสไบมาไว้เป็นที่ระลึก
กลับมาบ้านให้ยายไปขอให้ เจ้าเมืองเรียกสินสอดเงินแสนชั่ง ทองแสนชั่ง ช้างพันตัว
มีคนขับขี่พร้อม คนใช้พันคน สะพานเงิน สะพานทอง จากบ้านยายไปหาพระราชวัง
พระอินทร์พระยานาคมาช่วยทำสะพาน หาสินสอดในที่สุดกินรีกับนางลุนก็ได้แต่งงานกัน
จุดมุ่งหมายของผู้ปริวรรต
เนื่องจากวรรณกรรมนิทานอีสานเรื่องท้าวก่ำกาดำ เป็นวรรณกรรมที่นักปราชญ์อีสานได้ร้อยกรองขึ้นไว้ด้วยเนื้อหาสาระไพเราะ
อ่านแล้วให้คติสอนใจ ความรู้และความบันเทิงใจ นิยมแพร่หลายในสังคมอีสาน
ซึ่งมีการนำไปอ่านในงานต่างๆหรือแม้แต่พระสงฆ์ก็นำไปใช้เทศนาสั่งสอนชาวบ้านในงานประเพณีและวันสำคัญต่างๆและมีการนำโครงเรื่องไปแต่งเป็นเรื่องราวในการแสดงหมอลำเรื่องอีกด้วย
แต่เนื่องจากต้นฉบับวรรณกรรมนิทานอีสานเรื่องท้าวก่ำกาดำเป็นหนังสือใบลานที่จารด้วยตัวอักษรไทยน้อย
ยากแก่การอ่านจึงได้ทำการปริวรรตออกมาเป็นตัวอักษรไทยกลางปัจจุบันเพื่อง่ายแก่การศึกษา
ปีที่แต่ง
นักปราชญ์โบราณอีสานได้แต่งไว้ และนำหนังสือเรื่องท้าวก่ำกาดำจากวัดต่าง ๆ มาเทียบเคียงดูหลายฉบับ เห็นว่าฉบับใดเก่าแก่กว่าได้เลือกเอาฉบับนั้นมาแต่งขึ้นใหม่ แต่ยังไม่สามารถที่จะแต่งให้เป็นฉบับสมบูรณ์ได้และได้นำหนังสือใบลานเรื่องท้าวก่ำกาดำมาแต่งใหม่ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2527
ผู้แต่ง
วรรณกรรมอีสานเรื่องท้าวก่ำกาดำ มีผู้แต่ง คือ นายปรีชา พิณทอง ต้นฉบับเป็นหนังสือใบลานและได้รวบรวมหนังสือเรื่องท้าวก่ำกาดำจากวัดต่าง ๆ มาเทียบเคียงดูหลายฉบับ
เห็นว่าฉบับใดเก่าแก่กว่าได้เลือกเอาฉบับนั้นมาชำระซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า "ยังไม่สามารถที่จะชำระให้เป็นฉบับสมบูรณ์ได้"
แจำหน่าย
จัดจำหน่ายโดยโรงพิมพ์ศิริธรรม 60/22-23 ถนนชยางกูร อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทร. 255293
ขนาดหนังสือ 16 หน้า ยก จำนวน 178 หน้า
บทที่ 2 การวิเคราะห์ชื่อและเนื้อหาในวรรณกรรม
1 .วิเคราะห์ชื่อเรื่อง
วรรณกรรมเรื่อง
"ท้าวก่ำกาดำ" ตั้งชื่อเรื่องมาจากลักษณะของตัวละครเอกคือ ท้าวก่ำกาดำ
ซึ่งคำว่า ก่ำ ในภาษาอีสานแปลว่า สีคล้ำ ส่วน กาดำ
เป็นคำที่บ่งบอกถึงลักษณะสีผิวที่มีสีดำไปทั้งตัวเหมือนกา ท้าวก่ำกาดำจึงหมายถึง
ชายที่มีลักษณะสีผิวดำคล้ำไปทั้งตัว
2. แก่นเรื่อง ชายหนุ่มรูปร่างอัปลักษณ์
ตัวดำทั้งตัวแต่จิตใจงดงามชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
3. โครงเรื่อง
การเปิดเรื่อง
· สามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่กินด้วยกันมานานไม่มีบุตรจึงได้บนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอบุตรจนได้กำเนิดเป็นท้าวก่ำกาดำ
การดำเนินเรื่อง
- กำเนิดท้าวก่ำกาดำ
- มารดารังเกียจลูกของตนที่ตัวดำอัปลักษณ์จึงหาอุบายนำลูกไปลอยแพ
- ตายายสองคนเป็นผู้ดูแลสวนอุทานหลังพระราชวังรับท้าวก่ำกาดำมาเลี้ยงดู
- ท้าวก่ำกาดำหลงรักนางลุน
- ท้าวก่ำกาดำร้อยมาลัยให้นางลุน
- ท้าวก่ำกาดำเป่าแคนในพระราชาฟัง
- ท้าวก่ำกาดำขอให้ตากับยายไปสู่ขอนางลุนให้
การผูกปม
- ท้าวก่ำกาดำมีสีผิวคล้ำดำเหมือนอีกา
- มารดารังเกียจจึงนำท้าวก่ำกาดำไปลอยแพ
จุดสูงสุด
- ท้าวก่ำกาดำต้องหาสินสอดเป็นเงินทองมากมาย
รวมทั้งสร้างสะพานเงินสะพานทองจากสวนอุทยานมาจนถึงพระราชวัง
การคลายปม
- พระอินทร์ดลบันดาลให้ท้าวก่ำกาดำถอดรูปเป็นชายรูปงามพร้อมสร้างเมือง
สะพานเงินสะพานทอง แก้วแหวนเงินทองให้
การปิดเรื่อง
- ท้าวก่ำกาดำได้แต่งงานกับนางลุน
จากนั้นจึงได้ออกตามหาบิดามารดาที่แท้จริงของตนและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
4. วิเคราะห์ตัวละคร
1. ท้าวก่ำกาดำ เพศ ชาย
สถานะ ไม่ปกติ
ลักษณะ อัปลักษณ์เพราะมีผิวสีดำทั้งตัว
กลับชาติ พระโพธิสัตว์
ฐานะ ยากจน
มีความสามารถในการเป่าแคน ร้อยมาลัย
2 .นางลุน เพศ หญิง
ผู้ดูแลสวนหลวงท้ายพระราชวัง ได้ให้ความช่วยเหลือและเลี้ยงดูท้าวก่ำกาดำเหมือนเป็นบุตรของตน มีจิตใจงดงาม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีเมตตา
5. พระอินทร์
เป็นบิดาของท้าวก่ำกาดำเมื่อตอนที่ท้าวก่ำกาดำเสวยชาติเป็นเทวดาก่อนลงมาเกิดเป็นบนโลกมนุษย์ พระอินทร์จะเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือท้าวก่ำกาดำอยู่ตลอด จิตใจดี มีเมตตา คอยสั่งสอนให้ผู้อื่นกระทำแต่ความดี
มีความสามารถในการเป่าแคน ร้อยมาลัย
2 .นางลุน เพศ หญิง
สถานะ ธิดาของกษัตริย์
ลักษณะ สิริโฉมงดงาม มีเมตตา
3 .บิดาและมารดาของท้าวก่ำกาดำ
บิดาเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่มีจิตใจงดงาม รักลูก เอ็นดูเด็ก ๆ รักครอบครัว ไม่เห็นแก่ตัว มองโลกในแง่ดี
ส่วนมารดาเป็นตัวละครที่มีจิตใจดีไม่แพ้บิดาของท้าวก่ำกาดำแต่มีเหตุที่ต้องนำลูกตัวเองไปลอยแพ เพราะทนแรงกดดันและความอับอายจากญาติของตนไม่ได้
4.ย่าจำสวนผู้ดูแลสวนหลวงท้ายพระราชวัง ได้ให้ความช่วยเหลือและเลี้ยงดูท้าวก่ำกาดำเหมือนเป็นบุตรของตน มีจิตใจงดงาม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีเมตตา
5. พระอินทร์
เป็นบิดาของท้าวก่ำกาดำเมื่อตอนที่ท้าวก่ำกาดำเสวยชาติเป็นเทวดาก่อนลงมาเกิดเป็นบนโลกมนุษย์ พระอินทร์จะเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือท้าวก่ำกาดำอยู่ตลอด จิตใจดี มีเมตตา คอยสั่งสอนให้ผู้อื่นกระทำแต่ความดี
6. พระยาหลวงเจ้า
เป็นกษัตริย์ปกครองเมือง มีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง อารมณ์ร้อน ชอบตัวสินคนแค่รูปลักษณ์ภายนอกจึงมักหาเรื่องกลั่นแกล้งท้าวก่ำกาดำเสมอ
เป็นกษัตริย์ปกครองเมือง มีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง อารมณ์ร้อน ชอบตัวสินคนแค่รูปลักษณ์ภายนอกจึงมักหาเรื่องกลั่นแกล้งท้าวก่ำกาดำเสมอ
7. ธิดาทั้ง 6 (พี่สาวทั้ง 6ของนางลุน)
ธิดาของพระยาหลวงเจ้า ที่มีสิริโฉยงดงามไม่แพ้กัน มีนิสัยใจคอเหมือนผู้เป็นบิดา
ภาษาที่ใช้ในการดำเนินเรื่อง
วรรณกรรมอีสานเรื่องท้าวก่ำกาดำ
ต้นฉบับเป็นหนังสือใบลานเขียนด้วยตัวอักษรไทยน้อย
มีเนื้อความไพเราะประกอบไปด้วยสารคดีศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม
เรื่องนี้ได้พิมพ์เป็นรูปเล่มด้วยอักษรไทยกลาง
ฉากหลัก
- ในพระราชวัง เหตุการณ์ต่าง ๆ มักเกิดขึ้นในพระราชวัง เช่น พระยาหลวงเจ้าฟังแคน ท้าวก่ำกาดำไปเล่นนางลุน
- สวนหลวง ที่อยู่อาศัยของย่าจำสวนและท้าวก่ำกาดำ
ฉากรอง
- หมู่บ้านของท้าวก่ำกาดำ เป็นบ้านเกิดของท้าวก่ำกาดำและเป็นต้นกำเนิดของเรื่องที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ
- แม่น้ำ ท้าวก่ำกาดำถูกลอยแพอยู่ในแม่น้ำ 7 วัน 7 คืน
- ในเมือง ท้าวก่ำกาดำเข้าไปเล่นในเมือง
บทที่ 3 ความโดดเด่นทางด้านวรรณกรรม
วรรณกรรมอีสานส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏผู้ประพันธ์
จะมีวรรณกรรมที่ระบุผู้ประพันธ์เพียงไม่กี่เรื่องและการระบุชื่อนี้ก็ไม่อาจลงความเห็นได้แน่ชัดว่าเป็นผู้ประพันธ์
ผู้คัดลอกหรือผู้จ้างวานคัดลอก
การที่กวีอีสานไม่นิยมระบุชื่อเจ้าของลิขสิทธ์การประพันธ์นี้เป็นเพราะว่าจุดมุ่งหมายในการประพันธ์เรื่องหรือกวีนิพนธ์นี้สร้างสรรค์วรรณกรรมขึ้นมาด้วยแรงศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นพุทธบูชาจึงไม่จำเป็นต้องบอกชื่อเพราะเป็นการผิดมารยาทในการทำบุญหรือสร้างกุศลเพื่อเอาหน้า
ต้นฉบับเป็นหนังสือใบลานเขียนด้วยตัวอักษรไทยน้อย
มีเนื้อความไพเราะประกอบไปด้วยสารคดีศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม และได้เขียนใหม่เป็นรูปเล่มด้วยอักษรไทยกลาง
นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีของภาคอีสานที่แสดงออกถึงความไพเราะของเสียงแคนที่ท้าวก่ำกาดำได้เป่าถวายกษัตริย์และนางลุนฟัง ดังนี้
ท้าวก็เป่า จ้อย จ้อย อ้อยอิ่ง
กินนะรี
บุญมี เลยเป่าแถลง ดังก้อง
เสียงแคนดังม่วนแม่ง พอล่มหลูด
ตายไปนั้น
ท้าวก็เป่า จ้อย จ้อย คือเสียงเสพ
เมืองสวรรค์ (หน้า 70 )
บทที่ 4 การนำไปประยุกต์ใช้
หมอลำเรื่อง
หมอลำพื้น
1หนังสือค่าวซอเรื่องก่ำกาดำ จัดพิมพ์โดยร้านประเทืองวิทยา ผู้แต่งชื่อนายโอ๊ด
วรรณกรรมเรื่องท้าวก่ำกาดำพบในสื่อที่นำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับยุคสมัยหลายแบบหลายประเภท
เช่น ใบลาน หนังสือประการเรียน หนังสือนิทาน หนังสือวรรณกรรมท้องถิ่น หมอลำพื้น
หมอลำต่อกลอน หมออลำเพลิน ฟ้อนฮูปฮ้อยมาลัยฮัก ฯลฯ
ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ของแต่ละบุคคล











ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น